สาระน่ารู้

ใช้ยาอย่างเหมาะสมลดความเสี่ยงการเกิดพิษต่อตับ

ยารักษาโรคไม่ว่าจะยาแผนปัจจุบัน หรือยาจากสมุนไพร ล้วนมีทั้งฤทธิ์รักษาและผลข้างเคียง ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สามารถเข้าใจและป้องกันแก้ไขได้

การป้องกันและการเฝ้าระวังโรคตับที่เกิดจากยา

1. ใช้ยาเมื่อมีความจำเป็น ไม่ใช้ยาเกินขนาดหรือระยะเวลายาวนานเกินฉลากหรือเอกสารกำกับยาระบุ

2. สังเกตอาการตับอักเสบ เมื่อได้รับยาที่มีความเสี่ยงเกิดพิษต่อตับสูง ได้แก่ อ่อนเพลียมาก ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง (มักปวดในตำแหน่งใต้ชายโครงขวา) ตัว ตาเหลือง คันตามผิวหนัง ปัสสาวะสีเข้มและอุจจาระสีซีด

3. หากมีโรคประจำตัวที่เกี่ยวข้องกับโรคตับ หรือมียาที่ใช้ประจำ รวมถึงดื่มแอลกอฮอล์อยู่เป็นประจำ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดพิษต่อตับ

ยาที่มีผลข้างเคียงต่อตับนั้น มีจำนวนมาก แต่มีบางกลุ่มยาที่มีโอกาสก่อให้เกิดพิษต่อตับได้บ่อย ควรต้องได้รับการเฝ้าระวังการใช้ยา ดังนี้

– ยาแก้ปวด/ยาลดไข้ : พาราเซตามอล (Paracetamol) ,ไดโคลฟีแนค (Diclofenac)

– ยารักษาวัณโรค : ไอโซไนอะซิด (Isoniazid), ไรแฟมพิซิน (Rifampicin), ไพราซินา ไมด (Pyrazinamide)

– ยาลดไขมันในเลือด : ซิมวาสะแตติน (Simvastatin) , อะทอร์วาสะแตติน (Atorvastatin)

– ยากันชัก : คาร์บามาเซพีน (Carbamazepine), เฟนิโทอิน (Phenytoin)

– ยาต้านจุลชีพ : อะม็อกซีซิลลิน (Amoxicillin) ,ไซโปรฟลอกซาซิน (Ciprofloxacin) ,ฟลูโคนาโซล (fluconazole)

– สมุนไพรที่มีความเป็นพิษต่อตับ: ขี้เหล็ก, บอระเพ็ด

ถึงอย่างไรก็ตามเราก็ไม่ควรที่จะกังวลว่ายาจะเป็นพิษต่อตับจนเกินความจำเป็น เพราะยาไม่ใช่สาเหตุเพียงอย่างเดียว แต่มีปัจจัยอื่นร่วมด้วย เช่น อายุ โรคประจำตัว หรือพฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ เป็นต้น และอาจทำให้เกิดอันตรายขึ้นได้ หากเป็นกังวลจนไม่ใช้ยารักษาโรคประจำตัว ซึ่งเราสามารถป้องกันโรคตับที่เกิดขึ้นจากยาได้ง่าย ๆ เพียงแค่ใช้ยาอย่างระมัดระวังภายใต้การแนะนำของแพทย์และเภสัชกร

Show More

บทความที่เกี่ยวข้อง

Back to top button